การศึกษากลไกการบริหารจัดการความเสี่ยงของภาคส่วนเกษตรต่อสภาวะอากาศรุนแรง โดยระบบประกันภัยพืชผล: กรณีศึกษาระบบเพาะปลูกข้าว
The Study of Agricultural Risk Management Mechanism for Preparation toward Extreme Weather Conditions using Crop Insurance: The Case Study of Thailand's Rice Cultivation
คณะผู้วิจัย
ชื่อ | หน่วยงาน |
---|---|
ดร.ณัฐพงษ์ พัฒนพงษ์ |
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
|
ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ | The Australian National University ภาควิชา Crawford School of Economics and Government |
ดร.ปรีสาร รักวาทิน | สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) |
ดร.ธนสิน ถนอมพงษ์พันธ์ | สำนักการจัดการ มหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวง |
ระยะเวลาดำเนินการ
18 เดิอน [สิงหาคม 2555 - มกราคม 2557]
รายละเอียดโดยย่อ
โครงการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะศึกษาแนวทางการบริหารความเสี่ยงของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโดยระบบประกันภัยพืชผลและการกระจายความเสี่ยงของประเทศไทยโดยผ่านกลไกการเงินนานาชาติ โดยการวิจัยจะเป็นการประยุกต์ใช้ข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งข้อมูลสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลภูมิสารสนเทศเกี่ยวกับการเพาะปลูก ข้อมูลจากดาวเทียมซึ่งแสดงความเสียหายของข้าวที่เกิดจากสภาวะอากาศรุนแรง ข้อมูลเกี่ยวสถานภาพทางเศรษฐกิจของครัวเรือน และข้อมูลตลาดโลกของข้าวและตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า เข้าร่วมกับวิธีการวิเคราะห์ในหลายสาขาทั้งวิธีการประมวลผลด้วยเทคโนโลยีสัมผัสระยะไกล (remote sensing) การประมวลผลด้วยเทคนิคด้านภูมิสารสนเทศ ร่วมกับวิธีการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์และการเงิน ซึ่งการบูรณาการข้อมูลและวิธีวิเคราะห์เหล่านี้จะนำไปสู่ความเข้าใจขององค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงการผลิตข้าวและแนวทางบริหารความเสี่ยง รวมถึงแนวทางการพัฒนากลไกเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าวในอนาคต โดยโครงการวิจัยได้จะมุ่งเน้นไปที่ 3 ประเด็นหลักได้แก่
1) การประเมินความเสียหายของการผลิตข้าวในพื้นที่สำคัญ 2 พื้นที่ ได้แก่ บริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยา และบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ โดยการศึกษาและพัฒนาวิธีการประเมินความเสียหายที่เกิดจากสภาวะอากาศรุนแรงจากการใช้ข้อมูลดาวเทียมและเทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล (remote sensing) รวมถึงการความสัมพันธ์ของผลที่ได้จากวิธีการวิเคราะห์ดัง
กล่าว กับข้อมูลความเสียหายที่ได้จากการรายงานผ่านกระบวนการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อใช้เป็นตัวแปรหลักในการกำหนดระบบดัชนีในการออกแบบกรมธรรม์ประกันภัยพืชผล
2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบประกันภัยพืชผลทั้งด้านการวิเคราะห์คุณลักษณะของความเสี่ยง การคำนวณราคาเบี้ยประกัน และการบริหารความเสี่ยงของผู้รับประกันภัย โดยใช้ข้อมูลความเสียหายที่ได้จากการรับรู้ระยะไกล (remote sensing) ข้อมูลสภาพอากาศ ร่วมกับวิธีการทางคณิตศาสตร์ประกันภัย และเสนอแนะรูปแบบกรมธรรม์ที่เหมาะสม
3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาบริหารเงินทุนประกันภัย และบทบาทของภาครัฐในการบริหารความเสี่ยงและพัฒนาตลาด โดยการกระจายความเสี่ยงภายในประเทศระหว่างพื้นที่ปลูกข้าวบริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยา และบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ และการกระจายความเสี่ยงในระดับนานาชาติโดยใช้เครื่องมือทางการเงินในตลาดสินค้าซื้อขายล่วงหน้า หรือในตลาดตราสารทางการเงินอื่นๆ เช่น พันธบัตรภัยพิบัติ (catastrophe bond) เพื่อเสนอแนะกรอบระบบประกันภัยด้านการผลิตข้าว และการบริหารความเสี่ยงของประเทศที่ยั่งยืนในอนาคต
โครงการวิจัยนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการบูรณาการข้อมูลและวิธีการวิเคราะห์ในหลายสาขาเพื่อประเมินถึงคุณลักษณะความเสี่ยง และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบประกันภัยที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมของทั้งภาคเกษตรกร ภาครัฐ และผู้มีส่วนร่วมในภาคอื่นๆ ในการรับมือกับผลกระทบจากภัยพิบัติต่างๆ จากสภาวะอากาศรุนแรงซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปในอนาคตจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1) เพื่อศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล (remote sensing) ในการติดตามและประเมินความเสียหายของการเพาะปลูกข้าวที่ประสบอุทกภัย และภัยแล้ง บริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ และพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง
2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาระบบประกันภัยโดยใช้ข้อมูลความเสียหายที่ได้จากเทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล (remote sensing) ร่วมกับข้อมูลสภาพอากาศ และวิธีการทางคณิตศาสตร์ประกันภัย ในวิเคราะห์คุณลักษณะของความเสี่ยง และการกำหนดเงื่อนไขในสัญญาประกันภัยและการประเมินราคาเบี้ยประกัน
3) เพื่อศึกษาแนวทางการกระจายความเสี่ยงของผู้รับประกันภัย และบทบาทของภาครัฐในการสนับสนุนและร่วมพัฒนาตลาด รวมถึงบริหารความเสี่ยงทั้งในกรณีของการกระจายความเสี่ยงภายในประเทศ และการกระจายความเสี่ยงในระดับนานาชาติ
ขั้นตอนการศึกษาและวิธีดำเนินการวิจัย
1) รวบรวมและจัดสร้างระบบฐานข้อมูลในช่วงแรกของการวิจัยจะเป็นการรวบรวมข้อมูลเชิงภูมิสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง ทั้งข้อมูลสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลลักษณะการใช้พื้นที่เพาะปลูกพืชไร่ ข้อมูลผลผลิตพืชไร่ในอดีต และข้อมูลผลการพยากรณ์ผลผลิตพืชไร่ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ข้อมูลทางเศรษฐกิจของครัวเรือนที่ปลูกพืชไร่ และข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อใช้ในการศึกษาด้านเทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล(remote sensing) นอกจากข้อมูลเชิงภูมิสารสนเทศเหล่านี้แล้ว การศึกษานี้ยังเก็บรวบรวมข้อมูลในอดีตของตลาดสินค้าเกษตรโลก เพื่อใช้ประกอบแบบจำลองตลาดโลกของการค้าข้าว และข้อมูลในอดีตของสินค้าโภคภัณฑ์และพันธบัตรภัยพิบัติ
2) ศึกษาและพัฒนาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล(remote sensing) ในการติดตามและประเมินผลกระทบของอุทกภัยและภัยแล้ง
2.1) การวิเคราะห์พื้นที่ประสบอุทกภัย จะเป็นการใช้โปรแกรมประมวลผลข้อมูลจากดาวเทียมประเภท Synthetic ApertureRadar (SAR) ซึ่งมีความสามารถทะลุทะลวงเมฆขณะถ่ายภาพ ทำให้ถ่ายภาพพื้นที่น้ำท่วมในทุกสภาวะอากาศสำหรับการหาพื้นที่น้ำท่วมจากภาพ SAR นั้นจะอาศัยคุณสมบัติการวัดการสะท้อนกลับของคลื่นเรดาห์ (RadarBackscattering) โดยบริเวณที่มีน้ำท่วมซึ่งมีพื้นผิงเรียบจะมีค่า Radar Backscatter ต่ำ แต่พื้นแผ่นดินซึ่งถือเป็นพื้นผิวที่ขรุขระจะมีค่า Radar Backscatter ที่สูง ทำให้สามารถนำเทคนิค Thresholding มาแบ่งแยกพื้นที่น้ำท่วมออกมาจากพื้นที่อื่นๆได้ง่าย นอกจากนี้จะนำพื้นที่น้ำท่วมที่ได้จากภาพถ่ายดาวเทียมประเภท SAR มาบูรณาการร่วมกับข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น แผนที่การใช้ที่ดิน แบบจำลองลักษณะภูมิประเทศ จากนั้นนำข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมมาซ้อนทับกับข้อมูลขอบเขตการปกครองในระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมแต่ละช่วงเวลา (GISDatabase) ทั้งนี้ พื้นที่น้ำท่วมดังกล่าวอาจรวมถึงพื้นที่น้ำท่วมขังถาวร แต่ไม่รวมถึงห้วย หนอง คลองบึง หรืออ่างเก็บน้ำ ซึ่งจะทำให้ทราบถึงบริเวณที่น้ำท่วมขังในแต่ละช่วงเวลา
2.2) การวิเคราะห์พื้นที่ประสบภัยแล้ง ซึงใช้ข้อมูลค่าดัชนีพืชพรรณโดยใช้วิธีการ NDVI (Normalized Difference VegetationIndex) จากดาวเทียม Terra MODIS ตั้งแต่ปี 2000 จนถึง ปี 2011 เป็นข้อมูลราย 16 วัน และมีความละเอียดเชิงพื้นที่250 เมตร มาคำนวณดัชนีสภาวะของพืชพรรณ (Vegetation Condition Index: VCI) ในช่วงเวลา 16 วันของข้อมูลค่าดัชนีพืชพรรณผลต่างแบบนอร์แมลไลซ์ ทั้งนี้ การคำนวณสภาวะของอุณหภูมิ (Temperature Condition Index: TCI) จะใช้การรวมค่าความสว่างของจุดภาพสูงสุด ในช่วงเวลา 16 วันของค่าอุณภูมิความสว่าง ค่า TCI เป็นค่าที่ได้จากการทำให้เป็นบรรทัดฐานด้วยค่าสูงสุด และค่าต่ำสุดของค่าอุณภูมิความสว่างในหลากหลายปีการคำนวณ Vegetation-Temperature Condition Index (VTI) โดย VTI คือค่าเฉลี่ยของ VCI และ TCI ซึ่งค่าของ VTI ที่คำนวณได้จะแสดงถึงสภาวะของพืชพรรณ รวมถึงการประสบภัยแล้งของพืช
2.3) การวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม MODIS โดยใช้สัญญาณค่า NDVI โดยการวิเคราะห์สัญญาณของ NDVIสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อระบุรูปแบบการปลูกข้าว ระยะการเจริญเติบโตของข้าว และการใช้ NDVI ในการตรวจสอบความเสียหายของข้าวจากภัยพิบัติ โดยใช้พารามิเตอร์ที่สำคัญซึ่งแสดงถึงฤดูกาล เช่น เวลาของการเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของฤดูการเพาะปลูก หรือการใช้ตัวกรองสัญญาณ (filter) ในการทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีผลกระทบจากสัญญาณรบกวนที่ลดลงและทำให้มีเสถียรภาพของสัญญาณดีขึ้น โดยงานวิจัยของ Eklundh (2009) ได้เสนอแนะวิธีการบ่งชี้ฤดูกาลเพาะปลูกจากสัญญาณของ NDVI โดยกำหนดให้ เวลาเริ่มต้นฤดูปลูกข้าวคือเวลาที่สัญญาณค่า NDVI ได้เพิ่มขึ้นถึงระดับที่กำหนดไว้ ในขณะเดียวกันเวลาเก็บเกี่ยวสิ้นสุดของฤดูคือเวลาที่ค่า NDVI ได้ลดลงไประดับผู้กำหนดวัดจากระดับต่ำสุดที่เหมาะสม จากวิธีการดังกล่าว ทำให้สามารถทราบความยาวของฤดูกาลเพาะปลูก ซึ่งหากนำข้อมูลความยาวของแต่ละฤดู มาประกอบกับข้อมูลน้ำท่วมที่ได้มาจากการ Threshold จากภาพถ่ายดาวเทียม Radarsat 1-2และข้อมูลภัยแล้ง ก็จะช่วยทำให้การประเมินมูลค่าความเสียหายของข้าว ณ สถานะการปลูกในช่วงเวลาต่างๆ ได้ละเอียดมากขึ้น
3) แนวทางการพัฒนาระบบประกันภัยโดยใช้ข้อมูลความเสียหายที่ได้จากเทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล (remote sensing)ร่วมกับข้อมูลสภาพอากาศและข้อมูลเศรษฐกิจครัวเรือน
3.1) ศึกษาการนำข้อมูลที่ได้จากเทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล(remote sensing) และข้อมูลสภาพอากาศ ร่วมกับข้อมูลความเสียหายของการปลูกข้าวที่เกิดขึ้นจากภัยแล้งและอุทกภัย(จัดเก็บโดยกระทรวงเกษตรฯ) และข้อมูลภาวะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน (จัดเก็บโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ) มารวบรวมเป็นฐานข้อมูลเชิงภูมิศาสตร์สารสนเทศและจัดทำ(1) ดัชนีความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวจากการเหตุภัยแล้ง และอุทกภัย 3(2) จัดสร้างสมการที่แสดงความสัมพันธ์ดังกล่าว (หรือ สมการแสดงความเสียหาย (Loss Function))
3.2) ศึกษาการกำหนดเงื่อนไขและการคำนวณราคาของประกันภัยพืชผล
3.3) ภายหลังจากการประมาณสมการแสดงความเสียหาย (Loss Function)) และการคำนวณมูลค่าเบี้ยประกันภัยที่เป็นธรรมระหว่างเกษตรกรและผู้รับประกันภัย (Actuarial fair price) กลไกที่สำคัญอย่างหนึ่งในการศึกษาความเป็นไปได้และความยั่งยืนของระบบประกันภัยนี้คือ การศึกษาบทบาทที่ภาครัฐควรมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยจัดแบ่งออกเป็นระดับของความสามารถในการรับความเสี่ยง (risk layering approach) ของเกษตรกร ภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยให้เห็นเข้าใจถึงขีดจำกัดในรับความเสี่ยงของแต่ภาคส่วน นอกจากนี้คุณลักษณะของประกันภัยพืชผล(สำหรับการเพาะปลูกข้าว)ที่ได้ศึกษาแนวทางการจัดสร้างตามรายละเอียดใน 3.1 – 3.2 จะถูกนำมาเปรียบเทียบกับโครงการประกันภัยพืชผลที่ได้ใช้อยู่ในปัจจุบันเพื่อศึกษาถึงจุดแข็งและข้อจำกัดของการรับประกันภัยแต่ละแบบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของโครงการรับประกันภัยพืชผลต่อไป
4) ศึกษาความเป็นไปได้ในการกระจายความเสี่ยงของผู้รับประกันภัย(Insurer)เนื่องจากผู้รับประกันภัยจะต้องการเผชิญกับความเสี่ยงของภัยที่จะเกิดขึ้น การศึกษาความเป็นไปได้ในการกระจายความเสี่ยงของผู้รับประกันจะช่วยให้ผู้รับประกันสามารถบริหารความเสี่ยงจากการรับประกันได้ดีขึ้น รวมไปถึงการส่งผลให้ค่าเบี้ยประกันภัยมีราคาลดลง ซึ่งจะนำผลดีมาสู่ทั้งผู้รับประกันและเกษตรกร ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยนำไปสู่ความยั่งยืนของโครงการประกันภัยพืชผล โดยคณะผู้วิจัยจะศึกษาแนวทางการกระจายความเสี่ยงผ่านทาง 2 วิธีการ คือ
4.1) การจัดสร้างพันธบัตรภัยพิบัติ(catastrophe bond) คณะผู้วิจัยจะศึกษาแนวทางในการจัดสร้างพันธบัตรภัยพิบัติ(catastrophe bond) ซึ่งจะใช้เป็นเงินทุนในการรับประกันภัยการเพาะปลูกข้าว และจะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยกระจายความเสี่ยงผ่านการซื้อขายในตลาดระหว่างประเทศ และลดภาระทางการเงินของผู้รับประกันภัย ซึ่งในโครงการวิจัยนี้จะเปรียบเทียบคุณลักษณะพันธบัตรภัยพิบัติ(catastrophe bond) ที่จะจัดสร้างขึ้นกับพันธบัตรภัยพิบัติ(catastrophe bond) อื่นๆ ที่ซื้อขายในตลาดระหว่างประเทศ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดสร้างและนำพันธบัตรดังกล่าวออกขายในอนาคต
4.2) การกระจายความเสี่ยงของผู้รับประกันโดยการใช้ตราสารในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ในการศึกษานี้ คณะผู้วิจัยจะทำการศึกษาแนวทางการกระจายความเสี่ยงของผู้รับประกันโดยการใช้ตราสารในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า(Futures) เป็นเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยง โดยผู้วิจัยจะใช้วิธีการทางเศรษฐมิติในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและผลผลิตข้าวของประเทศผู้ผลิตหลักในโลก กับการเปลี่ยนแปลงของราคาข้าวและสินค้าอื่นๆในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ณ เมืองชิคาโก และเมืองนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา และการข้อมูลของการซื้อขายรวมถึงกลไกราคา ซึ่งความสัมพันธ์ที่ได้จากการศึกษาจะระบุถึงความเป็นไปได้ในพัฒนาระบบการกระจายความเสี่ยงผ่านทางตราสารในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า และอาจนำไปสู่การพัฒนาให้โครงการประกันภัยฯ มีความยั่งยืนมากขึ้นในอนาคต
5) ศึกษาและเสนอแนะแนวทางการพัฒนาเพื่อนำไปสู่ระบบประกันภัยพืชผลที่ยั่งยืนผลการศึกษาใน 2) ถึง 4) จะนำมาสู่ข้อสรุปถึงศักยภาพและข้อจำกัดของประเทศไทยภายในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งจะผลลัพธ์ที่ได้ทั้งหมด คณะผู้วิจัยจะนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายซึ่งประกอบด้วย
5.1) แนวทางการนำเทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล(remote sensing) และข้อมูลสภาพอากาศมาประยุกต์ในการติดตามและประเมินความเสียหายของพื้นที่เพาะปลูกข้าวที่อยู่ภายใต้โครงการประกันภัยพืชผล
5.2) แนวทางการคำนวณคุณลักษณะทางสถิติของความเสียหายและการกำหนดราคาเบี้ยประกันภัย ภายใต้โครงการรับประกันภัยพืชผลซึ่งใช้ข้อมูลจากเทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล(remote sensing) และข้อมูลสภาพอากาศ
5.3) แนวทางของระบบประกันภัยพืชผลดังที่ใช้แนวทางใน 4.1) และ 4.2) โดยรัฐบาลเป็นผู้รับประกัน (Insurer) เองทั้งหมดหรือกรณีที่รัฐบาลอุดหนุนเบี้ยประกันหรือรับประกันภัยเพิ่มให้ในกรณีที่เกษตรกรอยู่เขตที่มีความเสี่ยงสูง หรือได้ทำการเพาะปลูกตามเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด
5.4) แนวทางที่รัฐบาลทำงานร่วมกับภาคเอกชนผ่านระบบตลาดประกันภัย หรือตลาดตราสารทางการเงิน/ตราสารในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า โดยการที่รัฐบาลเป็นผู้รับประกันกับเกษตรกร และบริหารความเสี่ยงผ่านทางการจัดทำและจำหน่ายพันธบัตรภัยพิบัติในตลาดนานาชาติ หรือกระจายความเสี่ยงผ่านตราสารทางการเงินในการตลาดนานาชาติของสินค้าเกษตรล่วงหน้า
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1) ระบบข้อมูลซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลภูมิสารสนเทศของสภาพภูมิอากาศ ผลผลิตข้าว ลักษณะความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ และลักษณะทางเศรษฐกิจของครัวเรือนเกษตร
2) รายงานฉบับสมบูรณ์พร้อมข้อมูลและผลการวิเคราะห์ รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อพัฒนาระบบประกันภัยการเพาะปลูกข้าวของประเทศไทยโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล(remote sensing) และข้อมูลสภาพอากาศ รวมถึงการกระจายความเสี่ยงโดยใช้พันธบัตรภัยพิบัติหรือตราสารทางการเงินในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า
3) งานวิจัยที่พร้อมสำหรับการนำเสนอในงานสัมมนาวิชาการและการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ
สรุปผลความก้าวหน้าการศึกษาวิจัย
โครงการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะศึกษาแนวทางเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนของประเทศไทยในการบริหารความเสี่ยงของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยการวิจัยจะเป็นการประยุกต์ใช้ข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งข้อมูลสภาพภูมิอากาศ ข้อมูลภูมิสารสนเทศเกี่ยวกับการเพาะปลูก ข้อมูลจากดาวเทียมซึ่งแสดงความเสียหายของข้าวที่เกิดจากสภาวะอากาศรุนแรง ข้อมูลเกี่ยวสถานภาพทางเศรษฐกิจของครัวเรือน และข้อมูลตลาดโลกของข้าวและตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า เข้าร่วมกับวิธีการวิเคราะห์ในหลายสาขาทั้งวิธีการทางภูมิสารสนเทศ การวิเคราะห์โดยใช้แบบจำลองผลผลิตพืช และวิธีการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์และการเงิน ซึ่งการบูรณาการข้อมูลและวิธีวิเคราะห์เหล่านี้จะนำไปสู่ความเข้าใจขององค์ประกอบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงการผลิตข้าวและแนวทางบริหารความเสี่ยงซึ่งภาครัฐ รวมถึงแนวทางการพัฒนาในอนาคต โดยโครงการวิจัยได้จะมุ่งเน้นไปที่ 3 ประเด็นหลักได้แก่
1. การประเมินความเสียหายของการผลิตข้าวในพื้นที่สำคัญ 2 พื้นที่ ได้แก่ บริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยา และบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ โดยการศึกษาและพัฒนาวิธีการประเมินความเสียหายที่เกิดจากสภาวะอากาศรุนแรงจากการใช้ข้อมูลดาวเทียมและเทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล (remote sensing) รวมถึงการความสัมพันธ์ของผลที่ได้จากการวิเคราะห์โดยใช้เทคโนโลยีการรับรู้ระยะไกล (remote sensing) กับข้อมูลความเสียหายที่ได้จากการรายงานผ่านกระบวนการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
2. ศึกษาและเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบประกันภัยทั้งด้านการวิเคราะห์คุณลักษณะของความเสี่ยง การคำนวณราคาเบี้ยประกัน และการบริหารความเสี่ยงของผู้รับประกันภัย โดยใช้ข้อมูลความเสียหายที่ได้จากการรับรู้ระยะไกล (remote sensing) ร่วมกับการประยุกต์ใช้แบบจำลองผลผลิตข้าว และวิธีการทางคณิตศาสตร์ประกันภัย
3. ศึกษาแนวทางการพัฒนาบริหารเงินทุนประกันภัย โดยการกระจายความเสี่ยงภายในประเทศระหว่างพื้นที่ปลูกข้าวบริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยา และบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ และการกระจายความเสี่ยงในระดับนานาชาติโดยใช้เครื่องมือทางการเงินในตลาดสินค้าซื้อขายล่วงหน้า หรือในตลาดตราสารทางการเงินอื่นๆ เช่น พันธบัตรภัยพิบัติ (catastrophe bond) เพื่อศึกษาแนวทางซึ่งนำไปสู่ระบบประกันภัยด้านการผลิตข้าวของประเทศที่ยั่งยืนในอนาคต
โดยในช่วงเดือนที่ 1 – 6 (เดือนสิงหาคม 2555 – เดือนมกราคม 2556) ได้มีการดำเนินกิจกรรมตามที่ระบุในข้อเสนอโครงการ ประกอบด้วยกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมและจัดเตรียมข้อมูลดาวเทียม ได้แก่
กิจกรรม 1.1 การรวบรวมข้อมูลผลิตภัณท์ภาพถ่าย MODIS ผ่านเวปไซต์ LP DAAC และรวบรวมข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม Radarsat 1-2
กิจกรรม 1.2 การเตรียมข้อมูลก่อนประมวลผล (Pre-processing): การปรับแก้เชิงแสง (radiometric correction) การปรับแก้เชิงเรขาคณิต (geometric correction), การกำจัดสัญญาณรบกวน (noise reduction)
ซึ่งการดำเนินงานทั้ง 2 กิจกรรม ได้ผลผลิตตามแผนงานร้อยละ 100 นอกจากนี้คณะผู้วิจัยยังได้เพิ่มเติมการนำข้อมูลอีก 1 ชุดมาประกอบงานวิจัยนี้ คือ ข้อมูล KBDI (Keetch-Byram Drought Index) ซึ่งเป็นการใช้ข้อมูลดาวเทียมประกอบข้อมูลอุตุนิยมวิทยาเพื่อแสดงถึงดัชนีความแห้งแล้งในจุดต่างๆ บนพื้นโลก โดยผู้วิจัยได้รวบรวมและจัดเตรียมข้อมูลดังกล่าวสำหรับบริเวณของประเทศไทย และจะนำข้อมูลนี้มาประกอบการบ่งชี้ภัยแล้งควบคู่ไปกับการใช้ VCI (Vegetation Condition Index) และ TCI (Temperature Condition Index) ตามที่ระบุในข้อเสนอโครงการ
นอกจากกิจกรรม 1.2 และ 1.3 แล้ว ในช่วงเดือนสิงหาคม 2555 - มกราคม 2556 ผู้วิจัยได้ดำเนินกิจกรรมที่ได้กำหนดไว้ว่าจะดำเนินการในช่วงเดือนที่ 4 – 12 ประกอบด้วย
กิจกรรม 1.3 การวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อแสดงพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยข้อมูลจะต้องผ่านตัวกรอง (filtering) เพื่อลดจุดกระ (speckle noise) จากนั้นนำเทคนิค thresholding มาแบ่งแยกพื้นที่น้ำท่วมออกมาจากพื้นที่อื่นๆ
กิจกรรม 1.4 การวิเคราะห์ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อตรวจวัดความแห้งแล้ง คำนวณโดยใช้ดัชนีสภาวะของพืชพรรณ (Vegetation Condition Index: VCI) ในช่วงเวลา 16 วัน และ คำนวณสภาวะของอุณหภูมิ (Temperature Condition Index: TCI) เพื่อหา Vegetation-Temperature Condition Index (VTI)
โดยผลผลิตของกิจกรรม 1.3 มีความก้าวหน้าร้อยละ 100 และกิจกรรม 1.4 คณะผู้วิจัยได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลและคำนวณค่าของ VCI และ TCI ในบริเวณภาคตะวันเฉียงเหนือแล้วเสร็จ และจะดำเนินการเปรียบเทียบกับข้อมูลภาคพื้น (ground data) เพื่อวิเคราะห์ความถูกต้อง ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้เพิ่มเติมการจัดสร้างดัชนีแสดงสภาวะแห้งแล้งเพิ่มเติมอีก 1 ดัชนี โดยวิธีการ NDVI – LST และจะนำมาใช้ร่วมกับดัชนี VCI ดัชนี TCI และดัขนี KBDI ในการบ่งชี้จุดที่เกิดภัยแล้ง ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบสำคัญร่วมกับตัวแปรอื่นๆ ของการหาความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านภูมิอากาศที่ทำให้เกิดความสูญเสียของพื้นที่เพาะปลูกข้าว (กิจกรรมที่ 2.1) และจัดสร้างสมการอธิบายความสูญเสีย (Loss Function) ของพื้นที่นาข้าว(กิจกรรมที่ 2.2) และนำไปสู่การประเมินราคาประกันภัยพืชผลตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย (กิจกรรมที่ 2.3) โดยความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตของแต่ละกิจกรรมด้านการรับรู้ระยะไกล (remote sensing) กับการหาสัมพันธ์ของปัจจัยด้านภูมิอากาศที่ทำให้เกิดความสูญเสียในพื้นที่ปลูกข้าวและจัดสร้างสมการอธิบายความสูญเสีย มีลักษณะดังแสดงในแผนภาพที่ 1 และคณะผู้วิจัยจะดำเนินการตามแผนงานดังกล่าว และดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ในช่วงเดือนที่ 7 – 18 ตามที่ระบุในข้อเสนอโครงการต่อไป
|
ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ของผลลัพธ์ของกิจกรรมด้านการรับรู้ระยะไกล (remote sensing) เพื่อจัดสร้างสมการแสดงความเสียหาย (Loss Function) |
ดาวน์โหลด: รายงานความก้าวหน้าครั้งที่ 1